วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

ด่านเกวียน

         


          สังคมไทย เป็นสังคมเกษตรเพื่อยังชีพมาแต่ครั้งโบราณกาล นอกจากการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ไว้ใช้เป็นอาหารและไว้ใช้แรงงานแล้ว ยังมีความจำเป็นที่จะต้องผลิตสิ่งอื่นที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตไว้ใช้ในครอบครัวด้วย ดังนั้น เวลาที่ว่างจากงานด้านเกษตรกร จึงเป็นเวลาที่ใช้ทำงานด้านหัตถกรรมแล้ว ยังนำส่วนที่มากกว่าความต้องการใช้ไปแลกเปลี่ยนสิ่งอื่นที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ซึ่งครอบครัวไม่สามารถจะผลิตได้เอง เครื่องปั้นดินเผ่าด่านเกวียนก็เป็น ผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นในลักษณะดังกล่าวข้างต้น แม้ว่าจะมีหลักฐานหลายอย่างปรากฏให้เห็นเด่นชัดว่า มีการทำเครื่องปั้นดินเผาอยู่หลายแห่งในภาคอีสานมานานแล้ว เช่นที่บ้านเชียง แต่ปัจจุบันนี้ เมื่อกล่าวถึงเครื่องปั้นดินเผาของภาคอีสาน คนไทยทั่วไปทั้งชาวไทยและต่างประเทศ รู้จักเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนมากกว่าเครื่องปั้นดินเผาจากแหล่งอื่น เพราะปัจจุบันนี้ เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนได้วิวัฒนาการจากหัตถกรรมในครัวเรือน เข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมเพื่อส่งออกนอกท้องถิ่น ดังจะเห็นวัตถุประสงค์นี้ได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่การผลิตไปจนถึง รูปแบบ กระบวนการผลิต และระบบการซื้อขายที่แพร่กระจายไปยังตลาดต่างประเทศ วิวัฒนาการของเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ที่เปลี่ยนแปลงไปนี้มีปฏิสัมพันธ์ต่อสิ่งต่าง ๆ มากมายในชุมชนบ้านด่านเกวียน นับตั้งแต่การนำวัตถุดิบขึ้นมาใช้ในการผลิต การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ระบบการทำงานของช่าง กระบวนการซื้อขายผลิตภัณฑ์ นับวันความเปลี่ยนแปลงนี้ ก็จะเคลื่อนต่อไปเรื่อย ๆ ความเป็นมาแต่ครั้งดั้งเดิมของชุมชนที่ผลิตเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน กำลังถูกลบเลือนไปเหมือนกับช่างรุ่นใหม่ที่ก้าวเข้ามาแทนที่ช่างรุ่นเก่าที่ล้มหายตายจากหรือเปลี่ยนอาชีพไป

          ประเด็นที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือทั้งภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งในครั้งโบราณมีการทำเครื่องปั้นดินเผาด้วยเทคโนโลยีที่เจริญทัดเทียมกันนั้น ปัจจุบันนี้ภาคเหนือมีแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียงอยู่หลายแห่ง แต่ในภาคอีสานมีเพียงด่านเกวียนเท่านั้นที่ยังมีชื่อเสียงทัดเทียมกับผลิตภัณฑ์ของภาคเหนือ ดังนั้นการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน จึงเป็นการศึกษาถึงวิวัฒนาการของเครื่องปั้นดินเผาของอีสานที่มีการปรับเปลี่ยนจนสามารถดำเนินอยู่ได้ในปัจจุบัน เนื้อหาของเอกสารเล่มนี้แบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ ตอนที่ 1 สภาพทั่วไปของชุมชน กล่าวถึงสภาพทางภูมิศาสตร์กายภาพ หรือภูมิศาสตร์ธรรมชาติที่มีความสัมพันธ์ต่อการผลิตเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ได้แก่ ที่ตั้งอันเหมาะสมของชุมชน ลักษณะภูมิประเทศและโครงสร้างทางธรณีวิทยา โดยเฉพาะ "ดิน" ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตนอกจากนี้ยังกล่าวถึงสภาพทางภูมิศาสตร์ประชากรในชุมชนด่านเกวียนอีกด้วย ตอนที่ 2 เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน เป็นการให้ข้อมูลในการทำเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนตั้งแต่การผลิต การเลือกวัตถุดิบ การปั้น การตกแต่งลวดลาย การเผาและการตลาดของผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน ตอนที่ 3 ช่างปั้นเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน แม้ว่าจะมีองค์ประกอบด้านทรัพยากรธรรมชาติที่เอื้ออำนวยต่อการผลิต คือ ดิน น้ำ ไม้ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง ความชื้น และสภาพอากาศที่เหมาะสม แต่สิ่งเหล่านั้นสำคัญน้อยกว่า "คนผู้เป็นช่างปั้น" ผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนยังคงมีอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้ได้ก็เพราะมีช่าง เนื้อหาในส่วนนี้กล่าวถึงช่างที่มีมาตั้งแต่ครั้งอดีต จนถึงปัจจุบัน จากเนื้อหาที่ปรากฏอยู่ตั้งแต่ตอนที่ 1 - 3 จะทำให้เห็นภาพองค์ประกอบสำคัญของการทำเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน ครบตามขบวนการอุตสาหกรรม คือแหล่งทุน วัตถุดิบ แรงงาน และการบริหารจัดการ ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน

       
          ด่านเกวียน เป็นหมู่บ้านหนึ่งของ ตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย ห่างจากตัวเมืองนครราชสีมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 15 กิโลเมตร โดยมีทางหลวงหมายเลข 224 สายนครราชสีมาโชคชัยผ่านกลางหมู่บ้านซึ่งมีร้านค้าเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน เรียงรายอยู่สองฟากฝั่งและมีลำน้ำมูลทอดขนานอยู่ทางฝั่งทิศตะวันออกหมู่บ้าน ด่านเกวียนนั้นแต่เดิมพ่อค้าจากนางรอง - บรีรัมย์ - สุรินทร์ -ขุนหาญ - ขุขันธ์ เรื่อยไปจนถึงเขมรจะเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายกับพ่อค้าชาวโคราชและมักจะพักกองคาราวานเกวียนกัน เป็นประจำจนได้ชื่อ หมู่บ้านว่า" บ้านด่านเกวียน " และในขณะพัก พ่อค้าเหล่านั้นก็มักนำดินจากสองฟากฝั่งลำน้ำมูล มาทำภาชนะใช้สอยต่างๆ เช่น โอ่ง อ่าง ไหปลาร้า ฯลฯ โดยลอกเลียนแบบจากชนชาวข่าวซึ่งเป็นกลุ่มชนที่อาศัยในพื้นที่แต่เก่าก่อนหลังจากนั้นเมื่อนำภาชนะเหล่านั้นกลับภูมิลำเนาของตน และด้วยคุณภาพพิเศษ ของภาชนะทั้งในด้านสีสันความคงทนต่อการใช้งาน จึงทำให้ภาชนะด่านเกวียนเป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนจนได้รับการเผยแพร่ มากขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งได้รับความสนใจยิ่ง จนกลายเป็นสินค้าหนึ่งในการค้าขายกันในยุคอดีตจวบจนปัจจุบัน....ลักษณะเฉพาะของเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนนั้นอยู่ที่ดินที่นำมาใช้ กล่าวคือดินด่านเกวียนเป็นดินเหนียวเนื้อละเอียดที่ขุดขึ้นมาจากริมฝั่งแม่น้ำมูล (ซึ่งห่างออกไปจากทางหลวง 224 ทางทิศตะวันออกประมาณ 2 - 3 กิโลเมตร)ในพื้นที่ที่ชาวบ้านเรียกว่า กุด หรือแม่น้ำด้วน(ลักษณะลำน้ำที่คดเคี้ยว กัดเซาะตะลิ่งจนขาดและเกิดลำน้ำด้วนขึ้น ส่วนที่เป็นแนวกัดเซาะจะกลายเป็นแหล่งทับทมดิน ดินดังกล่าวนี้เป็นดินซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษ ง่ายต่อการขึ้นรูปทนทานต่อการเผา ไม่บิดเบี้ยวหรือแตกหักง่าย และที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือดินนี้เมื่อถูกเผาจะให้สีโดยธรรมชาติเป็นสีแดงซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากธาตุเหล็ก (Iron Oxide) หรือสนิมเหล็กที่มีอยู่จำนวนมากในเนื้อดิน)



ที่มา : http://www.dankwian.com/

เขื่อนลำตะคอง


       
          อ่างเก็บน้ำเขื่อนลำตะคอง : กินอาหารพื้นบ้าน ชมทิวทัศน์ริมอ่างเก็บน้ำ

          ลำตะคองเป็นสายน้ำสำคัญอีกสายหนึ่งของโคราช ที่ได้ใช้ในการบริโภคและอุปโภค เมื่อมีการสร้างเขื่อนลำตะคอง จึงเกิดพื้นที่น้ำท่วมถาวรกว้างใหญ่ กลายเป็นทิวทัศน์สวยงามที่นักท่องเที่ยวและคนพื้นที่นิยมมาพักผ่อนชมวิว ส่วนผู้สัญจรในเส้นทางปากช่อง-สีคิ้วก็ได้ชมธรรมชาติของผืนน้ำกว้างใหญ่อันสวยงามของเขื่อนลำตะคองเลียบไปกับทางหลวง

          ที่ตั้งและการเดินทาง : ริมถนนมิตรภาพ (ทางหลวงหมายเลข 2) ตำบลลาดบัวขาว อำเภอสีคิ้วก่อนถึงตัวเมืองโคราช ประมาณ 62 กม. รถยนต์ส่วนตัว จากอำเภอปากช่องใช้ถนนมิตรภาพ (ทางหลวงหมายเลข 2)มุ่งหน้าโคราชระหว่าง กม.184-193   หรือ รถสองแถว เหมารถสองแถวจากตัวเมืองสีคิ้ว 200 บาท

          เขื่อนลำตะคองสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2507-2512 เพื่อกักเก็บน้ำไว้อุปโภคบริโภค การเกษตรและลดอุทกภัย เขื่อนลำตะคองสร้างขึ้นบริเวณช่องเขาเขื่อนลั่นกับช่องเขาถ่านเสียด ตัวเขื่อนเป็นเขื่อนดินสูง40.30 ม.สันเขื่อนยาว 527 ม.กว้าง10 ม.อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนมีความยาวตลอดลำน้ำ 19 กม.มีพื้นที่ 277,000 ไร่สามารถกักเก็บน้ำได้ 310ล้าน ลบ.ม.

         
          บริเวณรอบขอบอ่างซึ่งเลาะเลียบไปกับ ถนนมิตรภาพเป็ผืนน้ำกว้างใหญ่ไพศาลสุดสายตามีภูเขาโอบล้อม เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามโดยเฉพาะช่วงตะวันขึ้นและคล้อยต่ำ ลำแสงตะวันที่ตกสู่ผิวน้ำจะทำให้งดงามชวนมองมากขึ้น เป็นเสน่ห์และเอกลักษณ์ของการยืนโคราชอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องเข้าไปถึงตัวเขื่อน  บริเวณขอบอ่างเก็บน้ำริมเขื่อนถนนมิตรภาพมีจุดแวะชมวิวหลายแห่ง บางแห่งมีร้านอาหารหลายร้านให้นักท่องเที่ยวเลือกรับประทานพร้อมกับชมวิว อาหารที่โดดเด่นคือ อาหารพื้นบ้านประเภทส้มตำ ไก่ย่าง และอาหารประเภทปลาที่จับจากอ่างเก็บน้ำ เช่น ปลาช่อนตัวใหญ่ย่างเกลือ ปลากระทิงต้มยำหรือย่าง

          ตั้งอยู่ตำบลลาดบัวขาว ห่างจากตัวเมืองประมาณ 62 กิโลเมตร มีทางแยกจากทางหลวงหมายเลข 2 (นครราชสีมา-สระบุรี) บริเวณกิโลเมตรที่ 196-197 ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นเขื่อนดินสร้างกั้นลำตะคองที่ช่องเขาเขื่อนลั่นและช่องเขาถ่านเสียดในปี พ.ศ. 2517 เพื่อนำน้ำเหนือเขื่อนมาใช้ประโยชน์ในด้านชลประทาน นักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวบนสันเขื่อนเพื่อชมทิวทัศน์ของอ่างเก็บน้ำ ซึ่งมีฉากหลังเป็นภูเขาสวยงามเหมาะสำหรับพักผ่อนในยามแดดร่มลมตก เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 06.00 – 18.00 น

Jim Thompson Farm

                       


          ในปี พ.ศ. 2531 จากอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมาอันเลื่องชื่อในเรื่องผ้าไหมไปเพียง 25 กิโลเมตร จิม ทอมป์สัน ฟาร์มได้ถือกำเนิดขึ้นบนพื้นที่กว่า 600 ไร่บนเชิงเขาพญาปราบ ตำบลตะขบ โดยเริ่มจากเป็นแหล่งผลิตไข่ไหมจำหน่ายให้สมาชิกเกษตรกรเพื่อรับซื้อรังสดในการผลิตเส้นไหมและเป็นพื้นที่ปลูกหม่อนอันเป็นอาหารหลักของหนอนไหม และเมื่อย่างเข้าปี พ.ศ. 2544 จิม ทอมป์สัน ฟาร์มจึงได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรปีละครั้งในเดือนธันวาคมให้บุคคลทั่วไปที่หลงใหลในธรรมชาติได้ชื่นชมบรรยากาศ อันงดงาม และเรียนรู้ประสบการณ์ด้านการเกษตร พร้อมเรียนรู้วงจรชีวิตของหนอนไหม ชมแปลงพืชผักและดอกไม้สีสวยสดนานาชนิด รวมถึงเลือกซื้อไม้ดอกไม้ประดับและผลผลิตทางการเกษตรปลอดสารพิษซึ่งปลูกด้วยความเอาใจใส่จากเหล่าเกษตรกรของจิม ทอมป์สัน ฟาร์ม

          ปี พ.ศ. 2550 จิม ทอมป์สันได้ริเริ่มนำบ้านอีสาน อันเป็นสถาปัตยกรรมไทยอีสานที่เป็นเอกลักษณ์มารวบรวมไว้บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ อาทิ บ้านโคราช บ้านภูไท และเรือนเหย้า ซึ่ง “หมู่บ้านอีสาน” แห่งนี้ได้กลายเป็นอีกหนึ่งจุดต้อนรับนักท่องเที่ยวที่หลงใหลในสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าและวัฒนธรรมประเพณี อันดีงามของภาคอีสาน โดยมีการจำลองวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี การละเล่น อาหารการกิน และการประกอบอาชีพของชาวบ้านในอดีตให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสความเป็นอยู่ของชาวอีสานอันเรียบง่าย และพอเพียง ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. 2551 จิม ทอมป์สันยังได้สร้างและรวบรวม “หมู่บ้านโคราช” เพิ่มในบริเวณใกล้เคียง เพื่อเป็นการสะท้อนสถาปัตยกรรมอันหลากหลายของภาคอีสานได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2552 จิม ทอมป์สัน ฟาร์มได้ริเริ่มโครงการ “Art Center on Farm” ขึ้นเพื่อเป็นโครงการนำร่องในการเชื้อเชิญศิลปินมาทำผลงานศิลปะในบริบทของการเกษตรเชิงนิเวศน์และงานสถาปัตยกรรมอีสาน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นสะพานเชื่อมโยงศิลปะ ชีวิต และธรรมชาติเข้าด้วยกัน ศิลปินได้รับการสนับสนุนให้ทำงานกับธรรมชาติ วัสดุในท้องถิ่น และวัสดุรีไซเคิล โดยผลงานได้นำมาจัดแสดงตามจุดท่องเที่ยวต่างๆใน จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม

          ผลงานศิลปะต่างๆ มุ่งสร้างให้ผู้เยี่ยมชมมีความเข้าใจต่อศิลปะ สิ่งแวดล้อม ธรรมชาติ และระบบนิเวศ และยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างรากฐานความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการศิลปะโดยอิงแหล่งความรู้และโครงการการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมการอบรมเชิงปฏิบัติการกับศิลปินและผู้นำกิจกรรมต่างๆอันเป็นประโยชน์ต่อการกระตุ้นจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของผู้เยี่ยมชมทั้งจากท้องถิ่นและจากแหล่งอื่นๆ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ที่ยาวนานตลอดชีวิต

          ปัจจุบันจิม ทอมป์สัน ฟาร์มยังคงเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวเป็นประจำทุกปีในเดือนธันวาคมจนถึงต้นเดือนมกราคม ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ซึ่งสร้างรายได้ให้เกษตรกรอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและวัฒนธรรม ซึ่งสร้างความสุขและประสบการณ์อันแปลกใหม่ให้ทั้งผู้เข้าชม และเกษตรกรของจิม ทอป์สัน ฟาร์ม

          กิจกรรมฟาร์มทัวร์ จิม ทอมป์สัน เชิญนักท่องเที่ยวทุกท่านสัมผัสความงามของธรรมชาติ ผสานวัฒนธรรมอีสานดั้งเดิม ทั้ง 4 จุดท่องเที่ยว ดังนี้



จุดที่1 ทุ่งปอเทืองและสวนลอยฟ้า
          จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม ขอต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่าน ด้วยบรรยากาศธรรมชาติของสวนลอยฟ้า ซึ่งสาธิตวิธีการปลูกพืชผักนานาชนิดแบบลอยฟ้า ทั้งไม้ดอกสวยงามและพืชผักสวนครัวแบบปลอดสารพิษ พร้อมถ่ายรูปภาพความงดงามของทุ่งปอเทืองสีเหลืองอร่ามจากมุมสูงเพื่อเป็นที่ระลึก โดยจุดนี้ทุกท่านสามารถรับประทานอาหารและเครื่องดื่มใต้ร่มเงาของซุ้มน้ำเต้า ก่อนจะเดินทางเพื่อชมจุดต่างๆต่อไป

จุดที่2 ทุ่งทานตะวันและลานฟักทอง
          เพลิดเพลินกับการเก็บภาพความสวยงามตามธรรมชาติของเหล่าดอกไม้นานาพันธุ์ อาทิ ทุ่งทานตะวันหลากสี, ทุ่งคอสมอส ที่เบ่งบานรับลมหนาว พร้อมเพลิดเพลินไปกับแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติกลางแจ้ง ตื่นตากับภูเขาฟักทองยักษ์สีสันสดใส และลานฟักทองหลากหลายสายพันธุ์ ก่อนจะ อิ่มเอมไปกับผลงานศิลปะและการเวิร์คชอปจากบรรดาศิลปินมากฝีมือ ในโครงการ Jim Thompson Art Center on Farm

จุดที่3 หมู่บ้านอีสานและหมู่บ้านศิลปิน
          เรียนรู้และสัมผัสบรรยากาศอีสานดั้งเดิม ทั้งส่วนของหมู่บ้านอีสานที่หาชมได้ยาก พร้อมการจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมประเพณี และการละเล่นของชาวอีสานพื้นเมืองแบบครบครัน อาทิ การวาด
ฮูปแต้ม การตีหม้อ การทำเครื่องจักสาน เป็นต้น ก่อนสนุกสนานกับการผลิตข้าวอินทรีย์ ตั้งแต่การนวด การตำข้าว การฝัดข้าว ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถมีส่วนร่วมได้ทุกขั้นตอน พร้อมเรียนรู้วงจรชีวิตหนอนไหม ตั้งแต่ผีเสื้อจนกลายเป็นเส้นไหมล้ำค่า สิ้นสุดจุดนี้ด้วยการเลือกซื้อหาของที่ระลึกสไตล์อีสานแท้ก่อนเดินทางไปยังจุดต่อไป

จุดที่4 สวนดอกไม้และตลาดจิม ทอมป์สัน
          ในจุดสุดท้ายของ จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม ทุกท่านจะประทับใจไปกับสวนดอกไม้หลากหลายชนิด ที่ได้รับการตกแต่งอย่างประณีต เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เก็บภาพที่สวยงามไว้เป็นที่ระลึก พร้อมชมการสาธิตกระบวนการผลิตผ้าไหม และการทำชาใบหม่อนอย่างใกล้ชิด ปิดท้ายด้วยการเลือกซื้อผลผลิต ของฟาร์มทั้งผัก ผลไม้สดและแปรรูป ไม้ดอกไม้ประดับ รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆของ จิม ทอมป์สันในราคาสุดพิเศษ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสำรองบริการทัวร์ได้ที่
โทร: 02-216-7368, 085-660-7336
แฟกซ์: 02-762-2569, 044-373-117
E-mail: farmtour@jimthompson.com



ที่มา : http://www.jimthompson.com/farm/thai
          http://www.moohin.com/

ปาลิโอ


Palio หรือ ปาลิโอ ตั้งอยู่บนถนนธนะรัชต์ หลักกิโลเมตรที่ 17 ติดกับโรงแรมจุลดิศ เขาใหญ่ รีสอร์ท แอนด์ สปา ก้าวแรกที่ได้ไปสัมผัส Palio เขาใหญ่ แอบคิดในใจเล่นว่า "นี่เราข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลถึงประเทศอิตาลีเลยเหรอเนี่ย" ก็แหม บรรยากาศมันพาไปจริง ๆ ประหนึ่งว่ากำลังเดินอยู่กลางกรุงโรม  เพราะไม่ว่าจะเป็นอาคารถูกออกแบบให้เป็นกลุ่มอาคารถนนคนเดิน หรือสถาปัตยกรรมยุโรปโบราณแนวอิตาเลี่ยนสไตล์ที่รายล้อม แถมคำว่า Palio ยังเป็นภาษาอิตาเลียน หมายถึง "รางวัล" อีกด้วย และถ้าเดินสำรวจไปเรื่อยจะพบว่า ภายใน Palio เขาใหญ่ มีร้านเล็ก ๆ เป็นแนวลดหลั่นเรียงกันประมาณ 120 ร้าน มีสินค้าหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ของแต่งบ้าน เสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องประดับ เครื่องเสียง งานดีไซน์ต่างๆ ธนาคาร ร้านขายของที่ระลึก พืชผักปลอดสารพิษ ร้านไวน์ Coffee Shop, Pub & Restaurant, Bakery ร้านเสริมสวย Spa ร้านขายยา ร้านขายหนังสือ ศูนย์อาหาร ร้าน IT ฯลฯ โดยแต่ละร้านจะได้รับการออกแบบให้มีสไตล์ และเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่กลมกลืนเข้าภูมิทัศน์ล้อมรอบที่ดำรงความเป็นธรรมชาติของเขาใหญ่ อีกทั้งยังมีพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ ได้แก่ สวนหย่อม น้ำพุ ลานอเนกประสงค์สำหรับจัดการแสดงหรือดนตรี ห้องแสดงสินค้าหรือนิทรรศการ แต่ถ้าอยากเต็มอิ่มกับ Palio เขาใหญ่ แบบเน้น ๆ ที่นี่ก็มีบริการห้องพักแบบบูติคโฮเทล จำนวน 10 ห้อง บริการในรูปแบบ Bed & Breakfast (Palio B&B)






Palio เขาใหญ่ เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 - 22.00 น.แถมยังไม่เสียค่าเข้าชม หรือค่าใช้จ่ายใด ๆ อีกด้วย ทััั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 044-297-730, 044-297-731 โทรสาร: 044-297-741 e-mail: info@palio-khaoyai.com


ที่มา : http://travel.kapook.com/view8987.html

ปราสาทหินพนมวัน




          ปราสาทหินพนมวัน เป็นปราสาทหิน รุ่นก่อน ปราสาทหินพิมาย แต่มีขนาดที่เล็กกว่า มีลักษณะเป็นอโรคยาศาล จากการสำรวจของกรมศิลปากร ซึ่งพบหลักฐาน ศิลาจารึก เป็นแผ่นหินทรายและ ลักษณะของลวดลาย ตามทับหลัง เสากรอบประตู เชื่อว่า สร้างขึ้นราว ศตวรรษที่ ๑๐ - ๑๑ (เป็นศิลปะ ปาปวน) เพื่อเป็นการอุทิศให้แก่ พระศิวะ ในศาสนาฮินดู ซึ่งเป็นลัทธิ ไศวะนิกาย จากศิลาจารึก ได้มีการกล่าวถึง เมือง รัตนปุระ ซึ่งเชื่อว่าในครั้งอดีตกาล ในบริเวณรอบ ปราสาทหินพนมวัน มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก จึงอาจเป็นไปได้ว่า ชุมชนบริเวณนี้ได้ให้ความสำคัญ แก่ปราสาทหิน พนมวันเป็นอันมาก เพราะเป็นการสร้าง อโรคยาศาลที่ใหญ่ กว่าขนาดอโรคยาศาลทั่วๆไป ในสมัย อยุธยา จนถึง ต้นรัตนโกสินทร์ ปราสาทหินพนมวัน ได้ ถูกเปลี่ยนเป็น ศาสนสถานของชุมชนชาวพุทธ ได้มีการอัญเชิญ พระพุทธรูป มาไว้ภายในศาสนสถานแห่งนี้ ซึ่งเป็นไปตามปกติ ของการสร้างศาสนสถานของขอม มักมีความเชื่อในการหันทิศของทางเข้าหลักไปทางทิศ ตะวันออก ดังนั้นในการเที่ยวชม ปราสาทแห่งนี้ ขอแนะนำให้เริ่ม จากประตูด้านทิศตะวันออกก (โคปุระ ทางทิศตะวันออก ) องค์มณฑป ทางกรมศิลปากร ได้กำลังทำการบูรณะทั้งหมด และคาดว่าจะเสร็จสิ้น ราวปลายปี 43 แน่นอน หน้าบัน ที่ทางเข้า องค์มณฑป เป็นลายแกะสลักรูป เทพเจ้า ถือดอกบัว นั่งประทับอยู่บน หน้ากาล ซึ่งตัวหน้ากาล กำลังคายพวงอุบะ(พวงมาลัย) จากลานของพวงอุบะ เป็นการยืนยันอย่างแน่นอนว่า เป็นศิลปะสมัย ปาปวน อยู่ในสมัยก่อน นครวัด (หน้าบันชิ้นนี้เก็บไว้ที่ พิพิธภัณฑ์ พิมาย) ที่กรอบประตู ทางเข้าทางทิศตะวันออก พบศิลาจารึก ส่วนกรอบประตูทางทิศ ใต้มีพระปรมาภิไธย ของ รัชกาลที่ ๕ ยังมี อาคารอีกหนึ่งหลังด้านหลัง องค์มณฑป เชื่อว่าน่าจะเป็น บรรณาลัย หรือสถานที่ๆ ซึ่งเป็นที่เก็บรักษา พระคัมภีร์ ต่างๆ  ในการนำชม ศิลปะขอม ที่เป็น ศาสนสถานสานสถาน มักจำแนก เป็น ๒ แบบง่ายๆ เพื่อให้มีการเข้าใจในการชม ศาสานสถานที่มีขนาดใหญ่ เช่น ปราสาทหินพิมาย ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทพระวิหาร หรือ ปราสาทนครวัด ที่ กัมพูชา ถือว่าเป็น ศาสานสถานหลัก มักมีการสร้างไว้ในชุมชนที่มีความเจริญมากๆ โดยปกติ ศาสานสถานประเภทนี้ มีไว้เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และผู้ทำพิธี จะต้องเป็นผู้ที่ครองเมือง หรือกษัตริย์ เท่านั้น ศาสานสถานที่มีขนาดเล็ก ที่เรามักพบเห็นกันทั่วไป ตามหมู่บ้าน หรือข้างทาง ถือว่าเป็น อโรคยาศาล หรือ โรงพยาบาล นั้นเอง ตามปกติแล้ว จะมีการสร้าง อโรคยาศาล ไว้เป็นระยะๆ ประมาณ ๑๐ - ๑๕ กิโลเมตร หรือเป็นระยะเพียง ชั่วหนึ่งวันเดินทาง ดังนั้นเราจึงได้เห็น สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ เต็มไปหมดในบริเวณ อิสานตอนล่าง อโรคยาศาล มีไว้เพื่อให้ผู้ที่เดินทาง มีที่ที่พักค้างคืน และเป็นที่ซึ่งชาวชุมชนใช้เพื่อเป็นสถานพยาบาล โดยจะมีพรามหณ์ ประจำที่คอยประกอบพิธีทำ น้ำมนตร์ ให้แก่ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วย

          ปราสาทหินพนมวัน ตั้งอยู่ที่บ้านมะค่า ตำบลโพธิ์ ถนนสายโคราช-ขอนแก่น จังหวัดนครราชสีมา เป็นโบราณสถานสถาปัตยกรรมในคติความเชื่อของเขมรโบราณ สร้างราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 เพื่อเป็นเทวสถาน ต่อมาภายหลังดัดแปลงเป็นพุทธสถาน เป็นปราสาทหินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศไทย ตัวปราสาทหินพนมวัน สร้างเป็นปรางค์มีฉนวน (ทางเดิน) ติดต่อกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมยาว 25.50 เมตร กว้าง 10.20 เมตร พระปรางค์มีประตูซุ้ม 3 ด้าน ซุ้มประตูด้านทิศเหนือ ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประธานอภัย 1 องค์ ลักษณะศิลปะแบบอยุธยา รอบปราสาทเป็นลานกว้างมีระเบียงคดก่อด้วยหินกว้าง 54 เมตร ยาว 63.30 เมตร ประกอบด้วยประตูทางเข้า 4 ทิศ ทางด้านทิศตะวันออกมี “บาราย” หรือสระน้ำขนาดใหญ่ประจำชุมชน เรียกว่า "สระเพลง" ในเขตที่ดอนของเมือง เป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เพราะบังเอิญในตอนขุดค้นเมื่อประมาณปี 2533 ก็ดันไปพบกับโครงกระดูกมนุษย์ใต้ฐานปราสาทประธาน ที่มีร่องรอยของพิธีกรรมการฝังศพแบบตั้งใจฝัง ไม่ใช่การฆาตกรรม ซึ่งคงไม่มีใครไปตามจับฆาตกร เพราะคงตายไปนานแล้วเหมือนกัน โครงกระดูกประมาณว่าอายุในราว 2,000 – 2,500 ปี โดยดูจากภาชนะขัดมันดำที่เขาเรียกกันอย่างกิ๋บเก๋ว่า “ภาชนะแบบพิมายดำ” ที่ถูกนำมาฝังรวมอยู่กับศพตามความเชื่อ เพื่อให้ผู้ตายนำเอาไปใช้ในโลกหน้า ชุมชนโบราณพนมวันมีเส้นทางน้ำเชื่อมต่อไปยังลำน้ำขนาดใหญ่มานานแล้ว แต่ปัจจุบันขนาดของลำน้ำก็ลงไปมาก ลำน้ำนี้แหละคือถนนมิตรภาพโบราณที่เชื่อมชุมชนเมืองพนมวันกับชุมชนเมืองพิมายเข้าด้วยกัน
ชุมชนเมืองพนมวันเปลี่ยนแปลงไปหลายยุคหลายสมัย เพราะมีผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่หลายครั้ง คงเป็นเพราะเมืองพนมวันเป็นที่ดอน ตั้งอยู่กลางไร่นาน้ำท่วมขนาดใหญ่ที่มีความอุดมสมบูรณ์อยู่โดยรอบ

          จนมาถึงในราวพุทธศตวรรษที่ 16 จึงเริ่มมีการสร้างปราสาทแบบหินทรายขึ้น ซ้อนทับไปบนจุดเดิมที่เคยมีอาคารอิฐตั้งอยู่ในสมัยก่อนหน้า คงเพราะเป็นพื้นที่ที่มีฮวงจุ้ย หรือยันตรมณฑลเป็นมงคล จึงไม่ยอมย้ายที่ไปสร้างจุดอื่น อิฐของปราสาทเก่าได้กลายมาเป็นส่วนประกอบของปราสาทหลังใหม่ บางส่วนก็สร้างทับไปเลย

          แผนผังของปราสาทหินพนมวันมีรูปแบบเดียวกันกับปราสาทหินพิมาย จึงน่าจะสร้างในยุคไล่เลี่ยกันคือในราวพุทธศตวรรษที่ 16 ในศิลปะร่วมแบบบาปวน รูปแบบของปราสาทประธาน เป็นแบบเดียวกันกับปราสาทหินพิมาย แต่มีขนาดเล็กกว่าประมาณ 3 เท่า มีจารึกที่เสาประตูทางทิศใต้ เท่าที่อ่านได้ ก็เป็นชื่อของพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 ที่สร้างเทวาลัยถวายแด่เทพเจ้า แต่ก็ไม่ชัดว่าถวายบูชาเทพเจ้าองค์ใด
ห่างไปประมาณ 300 เมตรทางทิศตะวันออก มีร่องรอยของฐานอาคาร ที่มีการจัดวางหินศิลาแลงกรุเป็นผนังอย่างสวยงาม มีซุ้มประตูสลักหินทรายขนาดเล็กอยู่ 4 ด้าน เรียกกันแต่เดิมว่า “เนินนางอรพิมพ์” หรือ “เนินอรพิม” ตามนิทานเรื่องพระเจ้าพรหมทัตและนางอรพิม อันเป็นที่มาของชื่อเมืองพิมาย ที่เล่าว่ามาจากคำอุทานของนางอรพิมว่า“พี่มาแล้ว”

          จากการขุดค้นทางโบราณคดีโดยกรมศิลปากร ทำให้เรารู้ว่า ปราสาทหินพนมวันสร้างขึ้นเป็นจนเป็นยอดปราสาทโดยสมบูรณ์ แต่ก็พังทลายแบบถล่มลงมาอย่างรุนแรง ทำให้ชิ้นส่วนรูปสลักที่มีอยู่ไม่มากนักกระทบกันจนแตกหัก เรือนยอดปราสาทแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กจนยากที่จะซ่อม หน้าบันก็มีหลงเหลือจนเกือบครบทุกด้าน มีทั้งที่ยังไม่เริ่มแกะสลักไปจนถึงแกะสลักเสร็จแล้ว เรือนปราสาทที่พังถล่มลง และชิ้นส่วนประกอบของสถาปัตยกรรมทั้งหมด ถูกนำมาเรียงไว้บริเวณลานด้านนอกทางทิศตะวันตก มีบัวกลุ่มยอดปราสาทที่สมบูรณ์สวยงามรวมทั้งเครื่องประดับ เครื่องบน รูปสลักเชิงชาย หน้าบันและร่องรอยชิ้นส่วนศิลปกรรม ส่วนที่สลักไว้ก็สวยงามจริง ๆ ส่วนที่จะไม่สลักก็ไม่แกะสลักเอาเลย สร้างแบบค้าง ๆ ค้างเอาไว้ ชาวบ้านในเขตท้องถิ่นโคราช มีเรื่องเล่าหรือนิทานท้องถิ่น (Folk Tale) ที่เล่าถึงความไม่สมบูรณ์ของปราสาทหินพนมวันไว้ว่า...

           "....เมื่อกาลครั้งหนึ่ง ที่ผู้ชายกับผู้หญิงเริ่มมีความบาดหมาง ไม่เข้าใจและทะเลาะกันบ่อยครั้ง ความรักเริ่มห่างหาย เพราะเหตุด้วยผู้ชายชอบวางอำนาจ ทำตัวเป็นเจ้านาย ถือว่าตัวมีร่างกายกำยำและกำลังที่แข็งแรงกว่า เหล่าผู้หญิงเลยมารวมตัวปรึกษากัน ครั้นจะลงโทษไม่ให้ฝ่ายชายเข้าบ้าน ไม่ให้ร่วมหลับนอนด้วยก็กลัวว่าจะถูกใช้กำลังบังคับ ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มี พ.ร.บ.ข่มขืนกระทำชำเราภรรยาของตัวเองโดยไม่ยินยอม ก็อาจจะพลาดท่าเสียทีได้ ครั้นจะไม่ยอมทำอาหารให้ ผู้ชายก็คงหากินได้เอง ไอ้ที่เดือดร้อนก็เห็นจะเป็นลูกเด็กเล็กแดงที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ จะพาลเดือดร้อนไปด้วย เมื่ออดรนทนไม่ไหว จึงประกาศขอประลองกำลัง ท้าทายฝ่ายชายด้วยการแข่งขันสร้าง "ปราสาทหิน" ฝ่ายชายก็รับคำท้า โดยสัญญาถ้าหากฝ่ายชายของตนพ่ายแพ้ ก็จะยอมเป็นเบี้ยล่างให้เหมือนวัวควาย แต่ถ้าหากฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายแพ้ ก็จะต้องเป็นนางทาสประจำบ้านไปตลอดกาล ทั้งสองฝ่ายตกลงว่า ถ้าฝ่ายใดสร้างปราสาทหินเสร็จก่อน ก็จะต้องส่งสัญญาณโดยปล่อยโคมโลมขึ้นสู่ท้องฟ้าให้อีกฝ่ายเห็น ฝ่ายหญิงก็รู้ตัวดีว่า ศึกประลองกับชายครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก จึงขอไปสร้างปราสาทในที่ไกลบ้าน โดยอ้างว่า ถ้าผู้ชายอยู่ใกล้จะทำให้เสียเปรียบ เพราะจะได้ยินคำนินทาว่าร้าย ถากถางว่าร้าย พาลทำให้เสียกำลังใจ !!! ฝ่ายชายก็ตกลงเป็นมั่นเหมาะ เพราะก็คงอยากจะรีบแข่งขันให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็ว จะได้มีข้าทาสคนใหม่มาใช้ให้หนำใจ ฝ่ายหญิงจึงรวมตัวกันทั้งหมู่บ้านเดินทางไปยังเมืองพิมาย แล้วก็เริ่มสร้างปราสาทหินพิมายขึ้นอย่างใหญ่โต ฝ่ายชายที่อยู่ในหมู่บ้านก็เร่งสร้างปราสาทหินพนมวันที่มีขนาดเล็ก เพราะไม่รู้จะสร้างใหญ่ไปทำไม ไม่ได้ตกลงเรื่องขนาดเพียงยกแรกฝ่ายชายก็เป็นต่อหลายขุม เพราะผู้หญิงทำอะไรคิดมาก ชอบคิดเล็กคิดน้อย ไม่ประมาณตัว ไม่ชอบวางแผน ปราสาทหินเลยออกมาใหญ่โต ฝ่ายหญิงก็ละเมียดละไมในการแกะสลัก ฝ่ายชายก็สร้างไปถมไป ก่อไปจนยอดก่อนแล้วกะว่าจะกลับมาแกะสลักทีหลัง จนปราสาทหินพนมวันของฝ่ายชายสร้างขึ้นไปถึงยอดและแกะสลักบัวกลุ่มยอดปราสาทให้สวยงามเป็นอันดับแรก เพื่อประกาศศักดาข่มขวัญ ซึ่งก็ได้ผล ฝ่ายหญิงเห็นยอดปราสาทก่อขึ้นมาก็ให้ตกใจ เสียขวัญกันใหญ่ ก็ผู้ชายเขาร่วมมือร่วมใจกัน งานนี้ฝ่ายหญิงเราเสร็จแน่ ๆ แต่ในหมู่ของสตรีก็มีสติปัญญาเป็นอาวุธที่สำคัญ พวกเธอจึงปรึกษากันว่า เราพลาดมากันแล้วที่ก่อปราสาทใหญ่จนเกินไป ฝ่ายชายอีกไม่กี่วันก็คงจะสร้างเสร็จ จึงคิดออกอุบาย สร้างโครงไม้ขึ้นเป็นยอดปราสาท ห่อหุ้มด้วยผ้าขาว ทำให้ปราสาทหินพิมายมีสีขาวเด่น มองเห็นได้มาแต่ไกล แล้วจึงให้ปล่อยโคมลอยขึ้นท้องฟ้าในค่ำคืนนั้น รวมทั้งจัดงานเฉลิมฉลอง เต้นรำส่งเสียงกันเป็นที่สนุกสนานเพื่อให้ดูสมจริงสมจัง ฝ่ายชายเห็นโคมลอย ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ จึงส่งหนุ่มน้อยหน้ามนตร์มาเป็นสปาย แอบไปดูว่าฝ่ายหญิงว่าสร้างปราสาทเสร็จจริงแล้วหรือ ชายหนุ่มก็แอบล่องเรือขึ้นมา แล้วจึงถือโอกาสแวะมาหาคนรักที่ต้องแยกกัน เพราะต่างต้องมาช่วยฝ่ายของตัวเองในการแข่งขัน หนุ่มมาเจอสาวเป็นยาม จึงเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงด้วยความคิดถึง หันไปเห็นปราสาทขาวแต่ไกล ก็ยังไม่เชื่อสนิทใจ แต่สาวเจ้าผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ก็ได้โปรยพิศวาสและโอ้โลมรักให้หนุ่มคนรัก เพื่อให้เชื่อสนิทใจว่า ปราสาทของฝ่ายหญิงสร้างเสร็จแล้วจริง ๆ เมื่อความรักมันยิ่งใหญ่กว่าการแข่งขัน หนุ่มน้อยจึงเดินทางกลับมายังหมู่บ้านแล้วแจ้งข่าวกับหัวหน้าฝ่ายชายว่า ปราสาทฝ่ายหญิงสร้างเสร็จแล้วตามที่ให้สัญญาณโคมลอยมาทุกประการ หัวหน้าฝ่ายชายและทีมงานช่างผู้เข้มแข็ง ก็ให้รันทด มือไม้อ่อนแรงลงเพราะพ่ายแพ้ต่ออิสตรี จึงหันไปหาไหเหล้า"อุสาโท"มาดื่มเพื่อย้อมใจ ไหน ๆ ก็จะกลายเป็นขี้ข้าภรรยาตัวเองตามที่ลั่นสัจจะวาจาไว้ ศักดิ์ศรีและความทรนงแห่งความเป็นชายหายไปจนสิ้นแล้ว ฮือ ๆ  บางคนก็ยังคงแกะสลักต่อ แต่ผู้ชายส่วนใหญ่ก็หยุดสร้างและไม่อยากจะแกะสลักต่อไปอีกแล้ว บางคนก็เลยประชดด้วยการไปรื้อหินส่วนที่สร้างขึ้นไปแล้วลงมา ไหน ๆ ก็แพ้แล้วหนุ่มน้อยก็พาเพื่อนหนุ่มทั้งหลายไปที่เมืองพิมาย เพื่อแจ้งข่าวการยอมแพ้ แต่เมื่อไปถึง ก็พบว่าฝ่ายหญิงก็ยังสร้างปราสาทไม่เสร็จ ในทีแรกก็คิดจะโกรธ แต่จะโกรธไปทำไม ในเมื่อคนที่เขา"รัก"ต่างก็ต้องมาตกระกำลำบาก ใช้แรงงานเพื่อสร้างปราสาทขนาดใหญ่ แข่งขันประลองเพียงเพื่อต้องการให้ชายรู้สำนึกว่า ควรจะให้เกียรติ ดูแลทะนุถนอม เอาใจใส่พวกเธอบ้าง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ชายไม่อยากจะทำ แต่ก็คงหลงลืมไปบ้าง หลังจากได้อยู่กินเป็นผัวเมียจนเคยตัว ชายหนุ่มทั้งหลาย ก็เลยตัดสินใจลงมือช่วยฝ่ายหญิงให้สร้างปราสาทหินพิมายจนสำเร็จสะเด็ดน้ำ กลายเป็นปราสาทที่มีลวดลายแกะสลักที่งดงาม เป็นดั่งอนุสรณ์สถานแห่งความรักและความเข้าใจที่กลับคืนมาของหญิงและชาย ในขณะที่ปราสาทหินพนมวัน ไร้ร้างและไม่สมบูรณ์ ดั่งอดีตของความขัดแย้งเพราะไม่เข้าใจกัน ซึ่งจะไม่มีทางสมบูรณ์เลย หากทั้งสองฝ่ายไม่ยอมหันหน้าเข้าหากัน ยอมได้ก็ควรยอม ผู้ชายบ้านพนมวันจึงยอมรับ ไม่โกรธเคืองอุบายของฝ่ายหญิง ที่ทำไปเพราะอยากจะสอนให้พวกเขาเป็นชายสมชาย และที่สำคัญ ความคิดถึงเมื่อยามต้องห่างไกลกันของทั้งสองฝ่าย ก็ได้ละลายความบาดหมางที่มีอยู่มลายหายไปจนสิ้น เพราะเหตุหญิงชายต่างได้หยุดสร้างความไม่เข้าใจกันลงได้ ปราสาทหินพนมวันจึงหยุดสร้างและไม่เคยสร้างต่อ นับแต่วันที่ "ความรัก" ได้กลับคืนมา.....สู่บ้านพนมวันในครั้งนั้น....!!! ”



ที่มา : http://koratburee.tripod.com/visit.htm
           http://board.palungjit.com/

ไทรงาม



          ไทรงามตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมูล บริเวณเขื่อนพิมาย บรรยากาศไทรงามแห่งนี้มีต้นไทรขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก ไทรเหล่านี้เกิดจากต้นแม่อายุประมาณ 350 ปี แผ่กิ่งก้านสาขาออกรากซึ่งเจริญเติบโตเป็นลำต้นใหม่มากมายครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง ประมาณ 35,000 ตารางฟุต






ที่มา :  http://primethai.com/thaiblog/?p=96

ฟาร์มโชคชัย

อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย




ปราสาทหินพิมาย : ปราสาทหินใหญ่ที่สุดในประเทศ
เปิดเวลา 08.30-18.00 น.
ค่าเข้าชมคนไทย 10 บาท ชาวต่างชาติ 40 บาท
โทร. 0-4447-1568

          เป็นปราสาทหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีรูปแบบศิลปกรรมขอมแบบบาปวนและนครวัดที่มีความงดงาม เชื่อว่าเป็นต้นแบบในการสร้างนครวัดในเขมรปราสาทหินแห่งนี้ตั้งอยู่กลางเมืองพิมายซึ่งเป็นเมืองโบราณที่สำคัญของภูมิภาค มีเส้นทางคมนาคมเชื่อมโยงกับเมืองสำคัญทางตอนเหนือของลาวและทางตอนใต้ของขอม เมื่อชมปราสาทหินพิมายแล้วควรแวะชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย ซึ่งจัดเก็บโบราณวัตถุที่สำคัญจากปราสาทแห่งนี้ไว้ พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่บริเวณใกล้กัน

ประวัติ
          สร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธสถานในลัทธิมหายาน สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในยุคที่อาณาจักรขอมแผ่อิทธิพลมายังภูมิภาคนี้ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 7 (พ.ศ.1724-1761)มหาราชองค์สุดท้ายของอาณาจักรขอมใน พ.ศ. 2479 กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติและเริ่มบูรณะในปี พ.ศ.2494และ พ.ศ.2497กรมศิลปากรได้บูรณะองค์ปรางประธานอีกครั้ง โดยได้รับเงินงบประมาณจากรัฐบาลฝรั่งเศษ จนแล้วเสร็จในช่วงปี พ.ศ.2507-2512  แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5 ได้กำหนดให้เมืองโบราณพิมายและปราสาทหินพิมายเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ ในปี พ.ศ.2529 โดยมีการอนุรักษ์และบูรณะเป็นอย่างดี

สิ่งน่าสนใจ
          ปราสาทหินพิมาย หันหน้าไปทางทิศใต้ไปทางที่ตั้งของเมืองพระนคร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรขอม ปราสาทหินพิมายมีแบบแปลนเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 565 ม.ยาว1,030 ม.ล้อมรอบด้วยคูน้ำมีประตูเมืองทั้งสี่ทิศ ภายในบริเวณปราสาทหิน มีโบราณสถานที่น่าสนใจหลายแห่งโดยเริ่มตั้งแต่ทางเข้าตามลำดับดังนี้

          คลังเงิน จากประตูชัยเข้าไปก่อนถึงตัวปรางค์จะเห็นคลังเงินอยู่ทางทิศตะวันตก หรือทางด้านซ้ายมือปัจจุบัน อาคารคลังเงินเหลือเพียงซากฐานอาคารขนาดใหญ่ ที่เรียกอาคารหลังนี้ว่า คลังเงิน เพราะเคยพบเหรียญสำริดโบราณซึ่งด้านหนึ่งเป็นรูปครุฑหรือหงส์อีกด้านอีกด้านเป็นอักษรโบราณ นอกจากนี้ยังพบทับหลังจำหลักเป็นรูปคนกำลังหลั่งน้ำมอบม้าแก่พราหมณ์

          สะพานนาค เป็นทางที่ทอดนำไปสู่ตัวปรางค์มีนาคทอดตัวยาวเป็นราวบันได ชูเศียรทั้งเจ็ดแผ่พังพานเปล่งรัศมีอย่างสวยงาม นาคเป็นสัตว์มงคลที่พบตามโบราณสถาน ที่ได้รับอิทธิพลจากคติของศาสนาฮินดู หรือพราหมณ์ซึ่งเชื่อว่านาคทอดร่างเป็นทางเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์
ที่เชิงบันไดนาคทั้งสองข้างมีสิงห์จำหลักจากหินประดับอยู่ข้างละตัว สิงห์มีท่าทางองอาจเสมือนเป็นผู้พิทักษ์โบราณสถานลักษณะทางศิลปกรรมของสิงห์และนาคนี้ คล้ายศิลปะที่นครวัดที่สร้างในช่วงรัชกาลพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (พ.ศ.1656-1688)

          ซุ้มประตู หรือโคปุระชั้นนอก มีทั้งหมดสี่ด้านอยู่กึ่งกลางแนวกำแพงลักษณะสร้างเหมือนกันทุกด้าน คือมีฐานกว้างสามคูหามีเสาศิลา ช่องลมประดับข้างละสองช่อง เคยพบทับหลังชิ้นหนึ่งที่โคปุระทิศตะวันตก สลักเป็นรูปขบวนแห่พระพุทธรูปนาคปรกประดิษฐานบนคานหาม ทับหลังชิ้นนี้ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย

          พระระเบียง เมื่อมาถึงระเบียงก็ถือว่าเข้าสู่เขตชั้นในของปราสาทหินแล้ว พระระเบียงแต่ละด้านมีซุ้มประตูหรือโคปุระชั้นในอยู่กึ่งกลางที่น่าสนใจ คือกรอบประตูด้านทิศใต้ที่มีจารึกบนแผ่นหินเป็นอักษรเขมรโบราณกล่าวถึงการสร้างเมืองพิมาย และการสร้างรูปเคาพร จากพระระเบียงจะเข้าสู่ชั้นใน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของปราสาทพิมาย มีปรางค์สามองค์ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน คือปรางค์ประธานปรางค์พรหมทัต และปรางค์หินแดง

          ปรางค์ประธาน มีขนาดใหญ่ที่สุด สร้างขึ้นช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-17 หันหน้าไปทางทิศใต้ต่างจากปราสาทขอมแห่งอื่นๆ สันนิษฐานว่าหันไปทางเมืองพระนคร สลักลวดลายต่างๆ เช่น ลายกลีบบัว ลายประจำยาม ก่อด้วยหินทรายสีขาวทำเป็นชั้นซ้อนขึ้นไปห้าชั้น ส่วนยอดสลักเป็นรูปครุฑแบกทั้งสี่ทิศ เหนือขึ้นไปสลักเป็นรูปเทพประจำทิศต่างๆและรูปดอกบัว ทับหล้งและหน้าบันที่ประดับองค์ปรางค์ประธานส่วนใหญ่เล่าเรื่องรามายณะ และคติความเชื่อในศาสนาฮินดูหรือพราหมณ์ เช่นหน้าบันทิศใต้ หรือด้านหน้าก่อนเดินเข้าในองค์ปรางค์เป็นภาพศิวนาฏราชหรือพระศิวะฟ้อนรำ 108 ท่าในศาสนาฮินดูเชื่อว่า  เมื่อใดที่พระศิวะฟ้อนรำผิดจังหวะ เมื่อนั้นโลกจะเกิดกลียุค นอกจากนี้ยังมีทับหลังที่จำหลักภาพอันเป็นหลักฐานสำคัญว่าปราสาทหินพิมาย เป็นศาสนสถานในพุทธศาสนา คือภาพพุทธประวัติตอน " มารวิชัย"  และพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน

          ปรางค์พรหมทัต ก่อด้วยศิลาแลง สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ.1724-1761) เมื่อคราวที่พระองค์ทรงบูรณะปราสาทหินพิมาย ภายในปรางค์พบประติมากรรมศิลารูปบุคคลขนาดใหญ่นั่งขัดสมาธิ ชาวบ้านเรียกกันว่าท้าวพรหมทัต แต่นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นพระบรมรูปของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และพบผู้หญิงนั่งคุกเข่าที่ชาวบ้านเรียกว่า  นางอรพิมพ์ ในตำนานอรพิมพ์ ปาจิตต ซึ่งเป็นเรื่องเล่าในท้องถิ่น จนกลายเป็นชื่อบ้านนามเมืองในย่านพิมาย เช่นคำว่า"พี่ชายมา"ในเรื่องที่จะเล่าต่อไปก็เชื่อกันว่าเป็นที่มาของชื่อ "พิมาย" นางอรพิมพ์ เป็นลูกสาวชาวบ้านหน้าตาสะสวย เมื่ออายุได้ 16 ปีได้อยู่กินกับปาจิตต แห่งเมืองพรหมพันธุ์นคร ระหว่างที่สามีไม่อยู่ พรหมทัตกุมารกษัตริย์เมืองแห่งหนึ่ง ได้เสด็จประพาสป่ามา พบนางอรพิมพ์โดยบังเอิญ จึงได้เอานางไปอยู่ด้วย แต่เมื่อพรหมทัตกุมารเข้าใกล้นางจะร้อนเป็นไฟ เมื่อปาจิตตกุมารกลับมาได้ออกตามหาและได้ใช้อุบายว่า เป็นพี่ชายมาพบน้องสาว นางอรพิมพ์จึงบอกกับพรหมทัตกุมารว่า" พี่ชายมา"และสามารถปลิดชีวิตพรหมทัตกุมารได้สำเร็จแล้วพากันหนีออกมาได้ จึงเป็นเรื่องเล่าขานกันสืบมา

          ปรางค์หินแดง ตั้งอยู่ด้านขวาของปรางค์ประธาน ก่อด้วยหินทรายสีแดง มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 17 ในสมัยพระเจ้าวรมันที่ 2 ซึ่งนับถือศาสนาพราหมณ์ลัทธิไวษณพนิกายและ ได้พบศิวลึงค์ในหอพราหมณ์ซึ่งตั้งอยู่ติดกับปรางค์หินแดงถึงเจ็ดองค์ จึงสันนิษฐานว่าจะเป็นสถานที่ที่ประกอบพิธีทางศาสนาพราหมณ์

          บรรณาลัย เป็นอาคารก่อด้วยหินทราย สีแดงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายกพื้นสูง ตั้งอยู่ใกล้ซุ้มประตูทิศตะวันตก นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าเป็นที่เก็บรักษาตำราทางศาสนา หรืออาจจะเป็นที่ประทับของกษัตริย์ที่เสด็จมาทรงประกอบพิธีกรรม

          สระน้ำ หรือบาราย โบราณสถานเขมรมักมีสระน้ำหรือภาษาเขมรเรียกว่า บาราย เป็นสระที่ขุดขึ้นเพื่อกักเก็บน้ำไว้อุปโภคบริโภค บางคนก็เชื่อว่าเป็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรมบริเวณเมืองพิมายมีบารายอยู่หลายแห่ง ที่อยู่ในกำแพงเมืองคือ สระแก้ว สระพรุ่ง และสระขวัญ นอกกำแพงเมืองคือ สระเพลง อยู่ทางทิศตะวันออก สระโบสถ์ อยู่ทางทิศตะวันตก

          ประตูชัย เป็นหนึ่งในประตูเมืองซึ่งมีอยู่ทางสี่ทิศ ประตูชัยอยู่ทางด้านทิศใต้ของปราสาทหินพิมายรับกับถนนโบราณที่ทอดมาจากเมืองพระนครในเขมร มีแผนผังการก่อสร้างเหมือนกันทุกประตู คือเจาะเป็นช่องสูงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก่อด้วยศิลาแลงด้านข้างทั้งสองด้านของประตูมีห้องอยู่สามห้อง เทคนิคการสร้างอยู่ในยุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และสันนิษฐานว่าคงได้รับการก่อสร้างเพิ่มเติมขึ้นภายหลังสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

          กุฏิฤาษี บริเวณที่ตั้งกุฏิฤาษีเป็นจุดสิ้นสุดของถนนโบราณที่มีต้นทางจากเมืองพระนครในเขมร แต่ไม่เหลือร่องรอยถนนไว้ให้เห็นเพราะเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน กุฏิฤาษีเชื่อว่าเป็นอโรคยาศาลสร้างขึ้นช่วงรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองแห่งอาณาจักรขอม พระองค์โปรดเกล้าให้สร้างอโรคยาศาลตามเส้นทางโบราณไว้จำนวนมาก ปัจจุบันเหลือเพียงซากกำแพงศิลาแลงกับปราสาทเท่านั้น

          ท่านางสระผม เป็นโบราณสถานนอกกำแพงเมือง ตั้งอยู่ริมลำน้ำเค็มทางทิศใต้ของเมือง เดิมทีเป็นเพียงเนินดินใหญ่ที่มีเศษภาชนะดินเผาและเศษกระเบื้อง กระทั่งได้รับการขุดแต่งใน พ.ศ.2531จึงพอเห็นรูปรอยว่าเป็นอาคารทรงกากบาทก่อด้วยศิลาแลงมีฐานเป็นชั้นๆ และพบร่องรอยหลุมขนาดเล็กอยู่ที่มุมอาคารทุกจุดนักโบราณคดีสันนิษฐานว่าคงเป็น ศาลาจัตุรมุขซึ่งเป็นท่ารับเสด็จเจ้านายทางฝั่งพิมาย เพราะเป็นท่าน้ำแห่งเดียวที่อยู่ในแนวถนนโบราณ ห่างจากท่านางสระผมไปเล็กน้อยมีสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 200 ม. ยาว 400 ม.เรียกว่าสระช่องแมว แต่ไม่ปรากฎเรื่องราวว่ามีความสำคัญใด



ที่มา :  http://www.nakhonkorat.com

พิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหิน






สถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหินและทรัพยากรธรณีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 
เฉลิมพระเกียรติ  มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา  มีกำเนิดมาจากการประชุมสัมมนาระดับจังหวัดในเรื่อง “ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโคราชในทศวรรษหน้า” ที่โรงแรมสีมาธานี เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2537   ผศ.ดร.ประเทือง  จินตสกุล  หัวหน้าภาควิชาภูมิศาสตร์  สถาบันราชภัฏนครราชสีมาขณะนั้น  เป็นผู้อภิปรายถึงสถานการณ์วิกฤติของไม้กลายเป็นหิน  พร้อมทั้งเสนอโครงการอนุรักษ์ในรูปของอุทยาน  และพิพิธภัณฑ์  ผู้ว่าราชการจังหวัด นายสุพร  สุภสร ซึ่งร่วมประชุมอยู่ด้วย  ได้ประกาศสนับสนุนการอนุรักษ์ตามโครงการดังกล่าว  และได้อนุมัติงบประมาณ 1 ล้านบาท  ให้กับสถาบันราชภัฏนครราชสีมา  จัดทำแผนแม่บทอนุรักษ์และออกแบบพิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหินขึ้น
พิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหิน  ก่อเกิดบนที่ดิน จำนวน 80.5 ไร่  ที่ได้รับความเห็นชอบให้ใช้ประโยชน์จาก อบต.สุรนารี  ทำให้มีการลงทุนโครงการในช่วงที่ผ่านมารวมกว่า 180 ล้านบาท  ส่วนสำคัญเกิดจากความสนพระทัยของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี การสนับสนุนโดยนายสุวัจน์  ลิปตพัลลภ  อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม  และจากการประสานงานของนายแพทย์ วรรณรัตน์  ชาญนุกูล  รวมทั้งการสนับสนุนจากจังหวัดนครราชสีมา เพื่อการจัดนิทรรศการในพิพิธภัณฑ์  รวมทั้งถนนและงานภูมิทัศน์  สำหรับหน่วยงานอื่นที่สนับสนุน  ได้แก่  องค์การบริหารส่วนจังหวัด
สำนักงานโยธาธิการจังหวัด  ททท.นครราชสีมา  อบต.สุรนารี  เป็นต้น




นิทรรศการภายนอก
สวนอนุสรณ์สถานไม้กลายเป็นหิน ร. 6 จำลองจากอนุสรณ์สถานจริง  ขนาดจริง  จากบ้านตะกุดขอน  ตำบลท่าช้าง  อำเภอเฉลิมพระเกียรติ  จังหวัดนครราชสีมา  เพื่อเป็นเครื่องรำลึกถึงแนวคิดการอนุรักษ์ไม้กลายเป็นหินของ ร.6  ตั้งแต่เมื่อเกือบ 90 ปีก่อน
สวนจำลองภูมิประเทศแสดงที่มาของชื่อหมู่บ้าน  “โกรกเดือนห้า” จุดมุ่งหมายเพื่อแสดงภูมิประเทศในอดีตของพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์  กำเนิดของชุมชนและที่มาของชื่อหมู่บ้าน
สวนจำลองภูมิประเทศไม้กลายเป็นหินลุ่มน้ำมูล – ชี   แสดงเกี่ยวกับการกระจายและการกำเนิดของเนินกรวดและไม้กลายเป็นหินในภาคอีสาน  ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาถึงสุรินทร์  และจากจังหวัดบุรีรัมย์ถึงขอนแก่นและกาฬสินธุ์  รวมทั้งลำน้ำมูลและชีเป็นส่วนใหญ่



พิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหิน
มีโครงการก่อสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2537 และสามารถจัดแสดงนิทรรศการได้ใน พ.ศ. 2545 แต่เนื่องจากไม้กลายเป็นหินพบได้ในเกือบทุกจังหวัดของภาคอีสาน จึงไม่สามารถนำไม้กลายเป็นหินทั้งหมดและจำนวนมากมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ได้ ส่วนใหญ่จึงจัดแสดงไว้ในงานภูมิทัศน์ของพิพิธภัณฑ์ โดยแยกเป็นโซนพื้นที่ของไม้กลายเป็นหินจังหวัดต่างๆ ขณะที่ในพิพิธภัณฑ์จะเน้นไม้กลายเป็นหินของจังหวัดนครราชสีมา โดยเฉพาะการเน้นลักษณะเด่นพิเศษที่แตกต่างจากจังหวัดอื่นๆ 3 ประการ คือ 1) ไม้กลายเป็นหินอัญมณี 2) ไม้กลายเป็นหินวงศ์ปาล์ม และ 3) ไม้กลายเป็นหินหลากหลายอายุ
ห้องเฉลิมพระเกียรติ  :  สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยกับการอนุรักษ์ไม้กลายเป็นหิน
เพื่อแสดงภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและข้อความพระราชดำรัสที่เกี่ยวกับความสำคัญของ “โบราณวัตถุ”    ภาพของอนุสรณ์สถานไม้กลายเป็นหิน ร.6  รวมทั้งภาพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  ที่ทรงสนพระทัยในนิทรรศการและติดตามโครงการอนุรักษ์ไม้กลายเป็นหินของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาและจังหวัดนครราชสีมา  ตั้งแต่ พ.ศ. 2540
ห้องฉายวีดิโอแอนิเมชั่น  :  กำเนิดโลก  วิวัฒนาการสิ่งมีชีวิตและประวัติพิพิธภัณฑ์  เป็นห้องฉายขนาด 30 ที่นั่ง  พื้นไหวสะเทือนได้  สัมพันธ์กับเนื้อหาบนจอภาพที่มีอยู่ 3 จอ
ห้องฉายวีดิโอแอนิเมชั่น  :  กำเนิดไม้กลายเป็นหินโกรกเดือนห้า  เป็นห้องฉายที่จำลองบรรยากาศป่าดงดิบและลำน้ำที่ไหลมาจากแดนไกล  ภาพม่านน้ำตกซึ่งเป็นจอภาพด้วย  ฉายให้เห็นถึงกำเนิดไม้กลายเป็นหินในบริเวณบ้านโกรกเดือนห้า
ห้องนิทรรศการไม้กลายเป็นหินอัญมณี  แสดงไม้กลายเป็นหินอัญมณีขนาดใหญ่  หลากหลายอายุ  และไม้กลายเป็นหินตระกูลปาล์ม   ซึ่งเป็นความโดดเด่น 3 อย่างของไม้กลายเป็นหินในจังหวัดนครราชสีมา



พิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์
เนื่องจากมีการพบซากช้างดึกดำบรรพ์จำนวนมากและหลากหลายชนิดในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำมูลและสาขา ครอบคลุมพื้นที่หลายอำเภอของจังหวัดนครราชสีมา ได้แก่ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ โนนสูง จักราช พิมาย และอำเภอเมืองนครราชสีมา  โดยเฉพาะที่ตำบลท่าช้างของอำเภอเฉลิมพระเกียรติเพียง 1 ตำบล พบช้างดึกดำบรรพ์ถึง 8 สกุล จาก 42 สกุลที่พบทั่วโลก มีอายุอยู่ในสมัยไมโอซีนตอนกลางถึงสมัยไพลสโตซีนตอนต้น (16-0.8 ล้านปีก่อน) คือ ช้างสี่งากอมโฟธีเรียม ช้างงาจอบโปรไดโนธีเรียม ช้างงาเสียมโปรตานันคัส ช้างงายาวอะนันคัส ช้างสเตโกโลโฟดอน
ไซโนมาสโตดอน สเตโกดอน และช้างเอลิฟาสที่เป็นสกุลเดียวกับช้างไทยปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังพบสัตว์มีกระดูกสันหลังอื่นๆ ที่อยู่ร่วมกันกับช้างดึกดำบรรพ์อีกหลายสิบชนิด เช่น ยีราฟคอสั้น เอปที่เป็นบรรพบุรุษของอุรังอุตัง สัตว์ที่คล้ายหมูและฮิปโปซึ่งเรียกว่าเมอริโคโปเตมัส สัตว์พวกวัว หมูป่าขนาดเล็ก-ใหญ่ กวางแอนติโลป เสือเขี้ยวดาบ แรด ม้าฮิปปาเรียน เต่า ตะพาบน้ำ จระเข้ และหอยต่างๆ     ซึ่งทั้งหมดจัดแสดงร่วมกันในพิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ อันนับเป็นการสนับสนุนความสำคัญของช้างในฐานะสัตว์ประจำชาติไทย
อุโมงค์ช้างดึกดำบรรพ์    เป็นอุโมงค์ย้อนเวลาที่แสดงวิถีชีวิตมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของดินแดนทางนครราชสีมา  จนถึงชีวิตของช้างดึกดำบรรพ์เมื่อ 16 ล้านปีก่อน
วิดิทัศน์และนิทรรศการ เรื่องช้างดึกดำบรรพ์  บอกเล่าถึงชนิดของช้างในจังหวัดนครราชสีมา  แถบลุ่มน้ำมูล  รวมทั้งแสดงฟอสซิล ช้างจากพม่า  ไทย  แมมมอธและมาสโตดอนจากอเมริกาและงาช้างกลายเป็นหินที่ใหญ่ที่สุดที่คาดว่าท่านไม่เคยเห็นในที่อื่นมาก่อน


พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์
เนื่องจากตำบลโคกกรวดที่อยู่ใกล้พิพิธภัณฑ์ หรือกระทั่งตำบลสุรนารีที่เป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑ์ มีชิ้นส่วนกระดูกและฟันไดโนเสาร์กระจายอยู่ทั่วไป และพบต่อเนื่องเป็นพื้นที่กว้างขวางกว่า 28,000 ไร่ จนถึงอำเภอปักธงชัยและด่านขุนทด แม้จะเป็นกระดูกในสภาพที่แตกหักและกระจัดกระจายในหินแข็งที่เป็นหินกรวดมนปนปูน แต่พบอยู่เป็นจำนวนมากโดยสามารถจำแนกเบื้องต้นได้ถึง 4 พวก คือ พวกอัลโลซอร์ หรือพวกกินเนื้อขนาดใหญ่ที่คาดว่าอาจยาวถึง 10 เมตร พวกซอโรพอด หรือพวกกินพืชขนาดใหญ่ มีคอและหางยาว คาดว่ามีความไม่ต่ำกว่า 15 เมตร ส่วนพวกขนาดกลางและกินพืช คือ อิกัวโนดอนต์ที่มีฟันคล้ายกิ้งก่าอิกัวนา กับแฮดโดรซอร์หรือไดโนเสาร์ปากเป็ด ไดโนเสาร์เหล่านี้อยู่ในยุคครีเทเชียสตอนต้น (ประมาณ 100 ล้านปีก่อน) และมีความแตกต่างกับไดโนเสาร์ที่พบในจังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ หรือจังหวัดชัยภูมิ บางพวกถือว่าพบเป็นแหล่งแรกของประเทศไทย เช่น พวกอัลโลซอร์และแฮดโดรซอร์ นอกจากนี้ ยังพบพวกสัตว์เลื้อยคลานบินหรือเทอโรซอร์ที่อยู่ร่วมยุคกับไดโนเสาร์อีกด้วย
อุโมงค์ไดโนเสาร์   บรรยากาศและแสงสีคล้ายจริงน่าตื่นเต้น  เมื่อท่านอยู่ในอุโมงค์กับฝูงและใบหน้าของไดโนเสาร์  เสียงร้องและความเคลื่อนไหวในระยะใกล้
นิทรรศการไดโนเสาร์โคราช  มีทั้งเนื้อหาความรู้  ภาพ  ของจริง และรูปจำลองขนาดใหญ่ที่เคลื่อนไหวได้ของไดโนเสาร์พันธุ์กินเนื้อพวก “อัลโลซอร์” กับแม่ลูกพันธุ์กินพืช  “อิกัวโนดอนต์”
ห้องฉายวีดิโอแอนิเมชั่น เรื่อง  “แม่อิกัวโนดอนต์ ใจเด็ด  ปะทะอัลโลซอร์จอมโหด !“   ในห้องฉายวิดีโอแอนิเมชั่นรอบทิศหรือ 360 องศา
นิทรรศการ  “มุมเด็ก”  เป็นมุมที่เด็กได้ขุดค้นหาซากดึกดำบรรพ์แบบนักบรรพชีวินวิทยาน้อย และร่วมถ่ายภาพกับไดโนเสาร์โคราชดังกล่าว ซึ่งรวมทั้งไดโนเสาร์ปากเป็ด  “แฮดโดรซอร์”



       

อัตราค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่                                          30     บาท
นักศึกษา ปวส.-ปริญญาตรี          20     บาท
นักเรียนอนุบาล-ปวช.                  10     บาท
ชาวต่างชาติ                               100    บาท
เด็กต่างชาติ                                 50     บาท
พระภิกษุ สามเณร ผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป)  ฟรี
ผู้ทุพพลภาพ                                              ฟรี


ที่มา : http://www.khoratfossil.org/museum/index.php?option=com_frontpage&Itemid=40

สวนสัตว์นครราชสีมา




สวนสัตว์นครราชสีมา
ในองค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมป์  สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่  23 พฤษาคม 2532  ในสมัยพลเอกชาติชาย  ชุณหะวัณเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้  ชื่อโครงการ "สวนสัตว์นครราชสีมา " จนกระทั่งมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 14  ธันวาคม 2539 โดยมีพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นประธานในพิธี และใช้ชื่อว่า "สวนสัตว์นครราชสีมา" เป็นต้นมา สวนสัตว์นครราชสีมาจัดเป็นสถานที่ พักผ่อนเชิงนิเวศของประชาชน เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องสัตว์ป่าและธรรมชาติศึกษา ของเยาวชนที่มีความทันสมัย ตามมาตรฐานการจัดการสวนสัตว์ให้มีคุณภาพระดับสากล



สิ่งที่น่าสนใจในสวนสัตว์นครราชสีมา
พลาซ่าและลานเอนกประสงค์ เหมาะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจในลักษณะของการจัดปิกนิค หรือรับประทานอาหาร พักผ่อนใต้ร่มไม้ นอนอ่านหนังสือ หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่สมาชิกในครอบครัวร่วมกันทำ เช่น การนำอาหารมาทานนอกบ้าน เนื่องจากบริเวณนี้เป็นสนามหญ้าโล่ง รายรอบด้วยต้นไม้ใหญ่ จัดภูมิทัศน์ไว้อย่างสวยงาม มีศาลาไทยพักร้อน 2 หลัง ตรงกลางมีสนามหญ้าสำหรับรองรับกิจกรรม ลานน้ำพุ อาคารศูนย์ประชาสัมพันธ์ ต่อเนื่องไปยังอุทยานสัตว์โลกล้านปีทางด้านหลังด้วย

ศูนย์ประชาสัมพันธ์ มีลักษณะเป็นอาคารสถาปัตยกรรมทรงไทย 2 ชั้น ชั้นล่างจัดแสดงนิทรรศการข้อมูลสัตว์สำคัญๆ ของสวนสัตว์ไว้ เพื่อประโยชน์ด้านการศึกษาของเยาวชน ในลักษณะนิทรรศการภาพกล่องไฟ (ดูราแทน) โมเดลจำลองพื้นที่สวนสัตว์และกระดานข้อมูลข่าวสาร หรือบอร์ดนิเทศ นอกจากนี้ในอาคารยังเป็นห้องส่งกระจายเสียงตามสาย
ครอบคลุมพื้นที่ 545 ไร่ ของสวนสัตว์ มีโทรทัศน์ติดตั้งทั้ง 4 มุมของอาคาร มีระบบเสียงเพื่อรองรับการทำกิจกรรมต่างๆ

อุทยานสัตว์โลกล้านปี มีพื้นที่กว่า 4 ไร่ ออกแบบตกแต่งและจัดแต่งภูมิทัศน์ให้คล้ายกับดินแดนย้อนยุค ภายในพื้นที่จัดสร้างหุ่นจำลองไดโนเสาร์สายพันธุ์ต่างๆ ขนาดใกล้เคียง
ของจริงกว่า 20 ชนิด มีทั้งประเภทกินพืชที่เราคุ้นเคยอย่างเจ้าสูงใหญ่ คอยาว รูปร่างใหญ่ยักษ์ คือ บราคิโอซอรัส และประเภทกินเนื้อที่ดุร้ายอย่างไทรันโนซอรัส ซึ่งเด็กๆ
ชื่นชอบเป็นพิเศษ โดยแต่ละชนิดจะมีชื่อยุคที่ค้นพบ แหล่งที่ค้นพบ และข้อมูลอื่นๆ เพื่อเป็นแหล่งความรู้สำหรับเด็ก และผู้สนใจทั่วไป  

อาคารสัตว์เลื้อยคลาน แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนจัดแสดงชนิดงูต่างๆ ทั้งมีพิษและไม่มีพิษขนาดเล็กกว่าดินสอไปจนขนาดใหญ่ เช่น งูหลามและงูเหลือม โดยเฉพาะงูหลามทอง สีสันแปลกและหายาก นอกจากนี้ยังเชื่องสามารถมาพาดคอถ่ายรูปได้ด้วย หรืองูจงอาง (King Cobra) ซึ่งยาวเกือบ 5 เมตร กินงูสดๆ ทั้งตัวเป็นอาหาร หาดูได้ยากเหมือนกัน การชมงูที่นี่จะชมผ่านกระจกหนา ก่อสร้างแข็งแรงรับรองความปลอดภัย ส่วนนี้เป็นการจัดแสดงภายในอาคาร (Indoor) ส่วนที่ว่างตรงกลางจะเป็นสวนหย่อม ลักษณะโอเอซีส (Oasis) มีต้นไม้ใบหญ้า แหล่งน้ำสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เลื้อยคลานอีกประเภทหนึ่ง คือ กลุ่มของอีกัวนา ตะกวด เหี้ย ตุ๊ดตู่ เป็นต้น


อัตราค่าเข้าชม :  ค่าบัตรผ่านประตู  (รวมใช้บริการสวนน้ำสันทนาการ)    
                     ผู้ใหญ่ 70 บาท   เด็ก 15 บาท
                     นักศึกษาปวช.-มหาวทิยาลัย ครู ทหารตำรวจ (ในเครื่องแบบ) 30  บาท
                     ผู้ใหญ่ ชาวต่างชาติ 100 บาท   เด็ก 50 บาท
                     ผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) คนพิการพระภิกษุ สามเณร ชมฟรี

ค่าจอดรถยนต์  : รถจักรยานยนต์ 10  บาท รถยนต์ 4 ล้อ 50 บาท
                    รถโดยสาร  60  บาท            

รถไฟพ่วงนำชม : ผู้ใหญ่  20 บาท เด็ก 10 บาท

รถจักรยาน       : แบบเดี่ยว 20 บาท/ชั่วโมง
                     แบบนั่ง 2 คน 30 บาท/ชั่วโมง

รถกอล์ฟ :  300 บาท/ชั่วโมง

การแสดงความสามารถของแมวน้ำ : ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก  10 บาท


ที่่ตั้ง/การเดินทาง : ตั้งอยู่เลขที่ 111  ม.1 ถ.ราชสีมา-ปักธงชัย ต.ไชยมงคล อ.เมือง จ.นครราชสีมา
  เดินทางจาก กรุงเทพฯ โดยทางหลวงหมายเลข 2 ถ.มิตรภาพ เพียง 250 กิโลเมตร  และเพียง 19 กิโลเมตร จากจังหวัดนครราชสีมา ทางหลวงหมายเลข 304 ถนน ราชสีมา-ปักธงชัย หรือใช้บริการรถโดยสารจากในเมืองหมายเลข 4129  สู่สวนสัตว์นครราชสีมา

วัน-เวลา เปิดให้บริการ : เปิดบริการทุกวัน  เวลา 08.00- 17.00 น.

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
   ฝ่ายบริหารงานทั่วไป  โทรศัพท์: 044-934-647  โทรสาร: 044-934-531    
   ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและประชาสัมพันธ์
   โทรศัพท์: 044-934-537-8 โทรสาร: 044-934-537 โทรศัพท์มือถือ: 083-372-0404
   e-mail: prmarketing_krz@hotmail.com
   ฝ่ายการศึกษา โทรศัพท์; โทรสาร: 044-934-648
   โทรศัพท์มือถือ: 086-468-5897 e-mail: edu_koratzoo@hotmail.com
   บ้านพักรับรอง 044-934-647 ต่อ 234 หรือ 086-460-6753



ที่มา : http://www.koratzoo.com/index.php/en/