วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

ปราสาทหินพนมวัน




          ปราสาทหินพนมวัน เป็นปราสาทหิน รุ่นก่อน ปราสาทหินพิมาย แต่มีขนาดที่เล็กกว่า มีลักษณะเป็นอโรคยาศาล จากการสำรวจของกรมศิลปากร ซึ่งพบหลักฐาน ศิลาจารึก เป็นแผ่นหินทรายและ ลักษณะของลวดลาย ตามทับหลัง เสากรอบประตู เชื่อว่า สร้างขึ้นราว ศตวรรษที่ ๑๐ - ๑๑ (เป็นศิลปะ ปาปวน) เพื่อเป็นการอุทิศให้แก่ พระศิวะ ในศาสนาฮินดู ซึ่งเป็นลัทธิ ไศวะนิกาย จากศิลาจารึก ได้มีการกล่าวถึง เมือง รัตนปุระ ซึ่งเชื่อว่าในครั้งอดีตกาล ในบริเวณรอบ ปราสาทหินพนมวัน มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก จึงอาจเป็นไปได้ว่า ชุมชนบริเวณนี้ได้ให้ความสำคัญ แก่ปราสาทหิน พนมวันเป็นอันมาก เพราะเป็นการสร้าง อโรคยาศาลที่ใหญ่ กว่าขนาดอโรคยาศาลทั่วๆไป ในสมัย อยุธยา จนถึง ต้นรัตนโกสินทร์ ปราสาทหินพนมวัน ได้ ถูกเปลี่ยนเป็น ศาสนสถานของชุมชนชาวพุทธ ได้มีการอัญเชิญ พระพุทธรูป มาไว้ภายในศาสนสถานแห่งนี้ ซึ่งเป็นไปตามปกติ ของการสร้างศาสนสถานของขอม มักมีความเชื่อในการหันทิศของทางเข้าหลักไปทางทิศ ตะวันออก ดังนั้นในการเที่ยวชม ปราสาทแห่งนี้ ขอแนะนำให้เริ่ม จากประตูด้านทิศตะวันออกก (โคปุระ ทางทิศตะวันออก ) องค์มณฑป ทางกรมศิลปากร ได้กำลังทำการบูรณะทั้งหมด และคาดว่าจะเสร็จสิ้น ราวปลายปี 43 แน่นอน หน้าบัน ที่ทางเข้า องค์มณฑป เป็นลายแกะสลักรูป เทพเจ้า ถือดอกบัว นั่งประทับอยู่บน หน้ากาล ซึ่งตัวหน้ากาล กำลังคายพวงอุบะ(พวงมาลัย) จากลานของพวงอุบะ เป็นการยืนยันอย่างแน่นอนว่า เป็นศิลปะสมัย ปาปวน อยู่ในสมัยก่อน นครวัด (หน้าบันชิ้นนี้เก็บไว้ที่ พิพิธภัณฑ์ พิมาย) ที่กรอบประตู ทางเข้าทางทิศตะวันออก พบศิลาจารึก ส่วนกรอบประตูทางทิศ ใต้มีพระปรมาภิไธย ของ รัชกาลที่ ๕ ยังมี อาคารอีกหนึ่งหลังด้านหลัง องค์มณฑป เชื่อว่าน่าจะเป็น บรรณาลัย หรือสถานที่ๆ ซึ่งเป็นที่เก็บรักษา พระคัมภีร์ ต่างๆ  ในการนำชม ศิลปะขอม ที่เป็น ศาสนสถานสานสถาน มักจำแนก เป็น ๒ แบบง่ายๆ เพื่อให้มีการเข้าใจในการชม ศาสานสถานที่มีขนาดใหญ่ เช่น ปราสาทหินพิมาย ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทพระวิหาร หรือ ปราสาทนครวัด ที่ กัมพูชา ถือว่าเป็น ศาสานสถานหลัก มักมีการสร้างไว้ในชุมชนที่มีความเจริญมากๆ โดยปกติ ศาสานสถานประเภทนี้ มีไว้เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และผู้ทำพิธี จะต้องเป็นผู้ที่ครองเมือง หรือกษัตริย์ เท่านั้น ศาสานสถานที่มีขนาดเล็ก ที่เรามักพบเห็นกันทั่วไป ตามหมู่บ้าน หรือข้างทาง ถือว่าเป็น อโรคยาศาล หรือ โรงพยาบาล นั้นเอง ตามปกติแล้ว จะมีการสร้าง อโรคยาศาล ไว้เป็นระยะๆ ประมาณ ๑๐ - ๑๕ กิโลเมตร หรือเป็นระยะเพียง ชั่วหนึ่งวันเดินทาง ดังนั้นเราจึงได้เห็น สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ เต็มไปหมดในบริเวณ อิสานตอนล่าง อโรคยาศาล มีไว้เพื่อให้ผู้ที่เดินทาง มีที่ที่พักค้างคืน และเป็นที่ซึ่งชาวชุมชนใช้เพื่อเป็นสถานพยาบาล โดยจะมีพรามหณ์ ประจำที่คอยประกอบพิธีทำ น้ำมนตร์ ให้แก่ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วย

          ปราสาทหินพนมวัน ตั้งอยู่ที่บ้านมะค่า ตำบลโพธิ์ ถนนสายโคราช-ขอนแก่น จังหวัดนครราชสีมา เป็นโบราณสถานสถาปัตยกรรมในคติความเชื่อของเขมรโบราณ สร้างราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 เพื่อเป็นเทวสถาน ต่อมาภายหลังดัดแปลงเป็นพุทธสถาน เป็นปราสาทหินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศไทย ตัวปราสาทหินพนมวัน สร้างเป็นปรางค์มีฉนวน (ทางเดิน) ติดต่อกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมยาว 25.50 เมตร กว้าง 10.20 เมตร พระปรางค์มีประตูซุ้ม 3 ด้าน ซุ้มประตูด้านทิศเหนือ ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประธานอภัย 1 องค์ ลักษณะศิลปะแบบอยุธยา รอบปราสาทเป็นลานกว้างมีระเบียงคดก่อด้วยหินกว้าง 54 เมตร ยาว 63.30 เมตร ประกอบด้วยประตูทางเข้า 4 ทิศ ทางด้านทิศตะวันออกมี “บาราย” หรือสระน้ำขนาดใหญ่ประจำชุมชน เรียกว่า "สระเพลง" ในเขตที่ดอนของเมือง เป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เพราะบังเอิญในตอนขุดค้นเมื่อประมาณปี 2533 ก็ดันไปพบกับโครงกระดูกมนุษย์ใต้ฐานปราสาทประธาน ที่มีร่องรอยของพิธีกรรมการฝังศพแบบตั้งใจฝัง ไม่ใช่การฆาตกรรม ซึ่งคงไม่มีใครไปตามจับฆาตกร เพราะคงตายไปนานแล้วเหมือนกัน โครงกระดูกประมาณว่าอายุในราว 2,000 – 2,500 ปี โดยดูจากภาชนะขัดมันดำที่เขาเรียกกันอย่างกิ๋บเก๋ว่า “ภาชนะแบบพิมายดำ” ที่ถูกนำมาฝังรวมอยู่กับศพตามความเชื่อ เพื่อให้ผู้ตายนำเอาไปใช้ในโลกหน้า ชุมชนโบราณพนมวันมีเส้นทางน้ำเชื่อมต่อไปยังลำน้ำขนาดใหญ่มานานแล้ว แต่ปัจจุบันขนาดของลำน้ำก็ลงไปมาก ลำน้ำนี้แหละคือถนนมิตรภาพโบราณที่เชื่อมชุมชนเมืองพนมวันกับชุมชนเมืองพิมายเข้าด้วยกัน
ชุมชนเมืองพนมวันเปลี่ยนแปลงไปหลายยุคหลายสมัย เพราะมีผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่หลายครั้ง คงเป็นเพราะเมืองพนมวันเป็นที่ดอน ตั้งอยู่กลางไร่นาน้ำท่วมขนาดใหญ่ที่มีความอุดมสมบูรณ์อยู่โดยรอบ

          จนมาถึงในราวพุทธศตวรรษที่ 16 จึงเริ่มมีการสร้างปราสาทแบบหินทรายขึ้น ซ้อนทับไปบนจุดเดิมที่เคยมีอาคารอิฐตั้งอยู่ในสมัยก่อนหน้า คงเพราะเป็นพื้นที่ที่มีฮวงจุ้ย หรือยันตรมณฑลเป็นมงคล จึงไม่ยอมย้ายที่ไปสร้างจุดอื่น อิฐของปราสาทเก่าได้กลายมาเป็นส่วนประกอบของปราสาทหลังใหม่ บางส่วนก็สร้างทับไปเลย

          แผนผังของปราสาทหินพนมวันมีรูปแบบเดียวกันกับปราสาทหินพิมาย จึงน่าจะสร้างในยุคไล่เลี่ยกันคือในราวพุทธศตวรรษที่ 16 ในศิลปะร่วมแบบบาปวน รูปแบบของปราสาทประธาน เป็นแบบเดียวกันกับปราสาทหินพิมาย แต่มีขนาดเล็กกว่าประมาณ 3 เท่า มีจารึกที่เสาประตูทางทิศใต้ เท่าที่อ่านได้ ก็เป็นชื่อของพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 ที่สร้างเทวาลัยถวายแด่เทพเจ้า แต่ก็ไม่ชัดว่าถวายบูชาเทพเจ้าองค์ใด
ห่างไปประมาณ 300 เมตรทางทิศตะวันออก มีร่องรอยของฐานอาคาร ที่มีการจัดวางหินศิลาแลงกรุเป็นผนังอย่างสวยงาม มีซุ้มประตูสลักหินทรายขนาดเล็กอยู่ 4 ด้าน เรียกกันแต่เดิมว่า “เนินนางอรพิมพ์” หรือ “เนินอรพิม” ตามนิทานเรื่องพระเจ้าพรหมทัตและนางอรพิม อันเป็นที่มาของชื่อเมืองพิมาย ที่เล่าว่ามาจากคำอุทานของนางอรพิมว่า“พี่มาแล้ว”

          จากการขุดค้นทางโบราณคดีโดยกรมศิลปากร ทำให้เรารู้ว่า ปราสาทหินพนมวันสร้างขึ้นเป็นจนเป็นยอดปราสาทโดยสมบูรณ์ แต่ก็พังทลายแบบถล่มลงมาอย่างรุนแรง ทำให้ชิ้นส่วนรูปสลักที่มีอยู่ไม่มากนักกระทบกันจนแตกหัก เรือนยอดปราสาทแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กจนยากที่จะซ่อม หน้าบันก็มีหลงเหลือจนเกือบครบทุกด้าน มีทั้งที่ยังไม่เริ่มแกะสลักไปจนถึงแกะสลักเสร็จแล้ว เรือนปราสาทที่พังถล่มลง และชิ้นส่วนประกอบของสถาปัตยกรรมทั้งหมด ถูกนำมาเรียงไว้บริเวณลานด้านนอกทางทิศตะวันตก มีบัวกลุ่มยอดปราสาทที่สมบูรณ์สวยงามรวมทั้งเครื่องประดับ เครื่องบน รูปสลักเชิงชาย หน้าบันและร่องรอยชิ้นส่วนศิลปกรรม ส่วนที่สลักไว้ก็สวยงามจริง ๆ ส่วนที่จะไม่สลักก็ไม่แกะสลักเอาเลย สร้างแบบค้าง ๆ ค้างเอาไว้ ชาวบ้านในเขตท้องถิ่นโคราช มีเรื่องเล่าหรือนิทานท้องถิ่น (Folk Tale) ที่เล่าถึงความไม่สมบูรณ์ของปราสาทหินพนมวันไว้ว่า...

           "....เมื่อกาลครั้งหนึ่ง ที่ผู้ชายกับผู้หญิงเริ่มมีความบาดหมาง ไม่เข้าใจและทะเลาะกันบ่อยครั้ง ความรักเริ่มห่างหาย เพราะเหตุด้วยผู้ชายชอบวางอำนาจ ทำตัวเป็นเจ้านาย ถือว่าตัวมีร่างกายกำยำและกำลังที่แข็งแรงกว่า เหล่าผู้หญิงเลยมารวมตัวปรึกษากัน ครั้นจะลงโทษไม่ให้ฝ่ายชายเข้าบ้าน ไม่ให้ร่วมหลับนอนด้วยก็กลัวว่าจะถูกใช้กำลังบังคับ ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มี พ.ร.บ.ข่มขืนกระทำชำเราภรรยาของตัวเองโดยไม่ยินยอม ก็อาจจะพลาดท่าเสียทีได้ ครั้นจะไม่ยอมทำอาหารให้ ผู้ชายก็คงหากินได้เอง ไอ้ที่เดือดร้อนก็เห็นจะเป็นลูกเด็กเล็กแดงที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ จะพาลเดือดร้อนไปด้วย เมื่ออดรนทนไม่ไหว จึงประกาศขอประลองกำลัง ท้าทายฝ่ายชายด้วยการแข่งขันสร้าง "ปราสาทหิน" ฝ่ายชายก็รับคำท้า โดยสัญญาถ้าหากฝ่ายชายของตนพ่ายแพ้ ก็จะยอมเป็นเบี้ยล่างให้เหมือนวัวควาย แต่ถ้าหากฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายแพ้ ก็จะต้องเป็นนางทาสประจำบ้านไปตลอดกาล ทั้งสองฝ่ายตกลงว่า ถ้าฝ่ายใดสร้างปราสาทหินเสร็จก่อน ก็จะต้องส่งสัญญาณโดยปล่อยโคมโลมขึ้นสู่ท้องฟ้าให้อีกฝ่ายเห็น ฝ่ายหญิงก็รู้ตัวดีว่า ศึกประลองกับชายครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก จึงขอไปสร้างปราสาทในที่ไกลบ้าน โดยอ้างว่า ถ้าผู้ชายอยู่ใกล้จะทำให้เสียเปรียบ เพราะจะได้ยินคำนินทาว่าร้าย ถากถางว่าร้าย พาลทำให้เสียกำลังใจ !!! ฝ่ายชายก็ตกลงเป็นมั่นเหมาะ เพราะก็คงอยากจะรีบแข่งขันให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็ว จะได้มีข้าทาสคนใหม่มาใช้ให้หนำใจ ฝ่ายหญิงจึงรวมตัวกันทั้งหมู่บ้านเดินทางไปยังเมืองพิมาย แล้วก็เริ่มสร้างปราสาทหินพิมายขึ้นอย่างใหญ่โต ฝ่ายชายที่อยู่ในหมู่บ้านก็เร่งสร้างปราสาทหินพนมวันที่มีขนาดเล็ก เพราะไม่รู้จะสร้างใหญ่ไปทำไม ไม่ได้ตกลงเรื่องขนาดเพียงยกแรกฝ่ายชายก็เป็นต่อหลายขุม เพราะผู้หญิงทำอะไรคิดมาก ชอบคิดเล็กคิดน้อย ไม่ประมาณตัว ไม่ชอบวางแผน ปราสาทหินเลยออกมาใหญ่โต ฝ่ายหญิงก็ละเมียดละไมในการแกะสลัก ฝ่ายชายก็สร้างไปถมไป ก่อไปจนยอดก่อนแล้วกะว่าจะกลับมาแกะสลักทีหลัง จนปราสาทหินพนมวันของฝ่ายชายสร้างขึ้นไปถึงยอดและแกะสลักบัวกลุ่มยอดปราสาทให้สวยงามเป็นอันดับแรก เพื่อประกาศศักดาข่มขวัญ ซึ่งก็ได้ผล ฝ่ายหญิงเห็นยอดปราสาทก่อขึ้นมาก็ให้ตกใจ เสียขวัญกันใหญ่ ก็ผู้ชายเขาร่วมมือร่วมใจกัน งานนี้ฝ่ายหญิงเราเสร็จแน่ ๆ แต่ในหมู่ของสตรีก็มีสติปัญญาเป็นอาวุธที่สำคัญ พวกเธอจึงปรึกษากันว่า เราพลาดมากันแล้วที่ก่อปราสาทใหญ่จนเกินไป ฝ่ายชายอีกไม่กี่วันก็คงจะสร้างเสร็จ จึงคิดออกอุบาย สร้างโครงไม้ขึ้นเป็นยอดปราสาท ห่อหุ้มด้วยผ้าขาว ทำให้ปราสาทหินพิมายมีสีขาวเด่น มองเห็นได้มาแต่ไกล แล้วจึงให้ปล่อยโคมลอยขึ้นท้องฟ้าในค่ำคืนนั้น รวมทั้งจัดงานเฉลิมฉลอง เต้นรำส่งเสียงกันเป็นที่สนุกสนานเพื่อให้ดูสมจริงสมจัง ฝ่ายชายเห็นโคมลอย ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ จึงส่งหนุ่มน้อยหน้ามนตร์มาเป็นสปาย แอบไปดูว่าฝ่ายหญิงว่าสร้างปราสาทเสร็จจริงแล้วหรือ ชายหนุ่มก็แอบล่องเรือขึ้นมา แล้วจึงถือโอกาสแวะมาหาคนรักที่ต้องแยกกัน เพราะต่างต้องมาช่วยฝ่ายของตัวเองในการแข่งขัน หนุ่มมาเจอสาวเป็นยาม จึงเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงด้วยความคิดถึง หันไปเห็นปราสาทขาวแต่ไกล ก็ยังไม่เชื่อสนิทใจ แต่สาวเจ้าผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ก็ได้โปรยพิศวาสและโอ้โลมรักให้หนุ่มคนรัก เพื่อให้เชื่อสนิทใจว่า ปราสาทของฝ่ายหญิงสร้างเสร็จแล้วจริง ๆ เมื่อความรักมันยิ่งใหญ่กว่าการแข่งขัน หนุ่มน้อยจึงเดินทางกลับมายังหมู่บ้านแล้วแจ้งข่าวกับหัวหน้าฝ่ายชายว่า ปราสาทฝ่ายหญิงสร้างเสร็จแล้วตามที่ให้สัญญาณโคมลอยมาทุกประการ หัวหน้าฝ่ายชายและทีมงานช่างผู้เข้มแข็ง ก็ให้รันทด มือไม้อ่อนแรงลงเพราะพ่ายแพ้ต่ออิสตรี จึงหันไปหาไหเหล้า"อุสาโท"มาดื่มเพื่อย้อมใจ ไหน ๆ ก็จะกลายเป็นขี้ข้าภรรยาตัวเองตามที่ลั่นสัจจะวาจาไว้ ศักดิ์ศรีและความทรนงแห่งความเป็นชายหายไปจนสิ้นแล้ว ฮือ ๆ  บางคนก็ยังคงแกะสลักต่อ แต่ผู้ชายส่วนใหญ่ก็หยุดสร้างและไม่อยากจะแกะสลักต่อไปอีกแล้ว บางคนก็เลยประชดด้วยการไปรื้อหินส่วนที่สร้างขึ้นไปแล้วลงมา ไหน ๆ ก็แพ้แล้วหนุ่มน้อยก็พาเพื่อนหนุ่มทั้งหลายไปที่เมืองพิมาย เพื่อแจ้งข่าวการยอมแพ้ แต่เมื่อไปถึง ก็พบว่าฝ่ายหญิงก็ยังสร้างปราสาทไม่เสร็จ ในทีแรกก็คิดจะโกรธ แต่จะโกรธไปทำไม ในเมื่อคนที่เขา"รัก"ต่างก็ต้องมาตกระกำลำบาก ใช้แรงงานเพื่อสร้างปราสาทขนาดใหญ่ แข่งขันประลองเพียงเพื่อต้องการให้ชายรู้สำนึกว่า ควรจะให้เกียรติ ดูแลทะนุถนอม เอาใจใส่พวกเธอบ้าง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ชายไม่อยากจะทำ แต่ก็คงหลงลืมไปบ้าง หลังจากได้อยู่กินเป็นผัวเมียจนเคยตัว ชายหนุ่มทั้งหลาย ก็เลยตัดสินใจลงมือช่วยฝ่ายหญิงให้สร้างปราสาทหินพิมายจนสำเร็จสะเด็ดน้ำ กลายเป็นปราสาทที่มีลวดลายแกะสลักที่งดงาม เป็นดั่งอนุสรณ์สถานแห่งความรักและความเข้าใจที่กลับคืนมาของหญิงและชาย ในขณะที่ปราสาทหินพนมวัน ไร้ร้างและไม่สมบูรณ์ ดั่งอดีตของความขัดแย้งเพราะไม่เข้าใจกัน ซึ่งจะไม่มีทางสมบูรณ์เลย หากทั้งสองฝ่ายไม่ยอมหันหน้าเข้าหากัน ยอมได้ก็ควรยอม ผู้ชายบ้านพนมวันจึงยอมรับ ไม่โกรธเคืองอุบายของฝ่ายหญิง ที่ทำไปเพราะอยากจะสอนให้พวกเขาเป็นชายสมชาย และที่สำคัญ ความคิดถึงเมื่อยามต้องห่างไกลกันของทั้งสองฝ่าย ก็ได้ละลายความบาดหมางที่มีอยู่มลายหายไปจนสิ้น เพราะเหตุหญิงชายต่างได้หยุดสร้างความไม่เข้าใจกันลงได้ ปราสาทหินพนมวันจึงหยุดสร้างและไม่เคยสร้างต่อ นับแต่วันที่ "ความรัก" ได้กลับคืนมา.....สู่บ้านพนมวันในครั้งนั้น....!!! ”



ที่มา : http://koratburee.tripod.com/visit.htm
           http://board.palungjit.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น